กล้อง Go Pro ! ข้อดี – ข้อเสีย ต้องรู้ก่อนควักกระเป๋า

กล้อง Go Pro ! ข้อดี - ข้อเสีย ต้องรู้ก่อนควักกระเป๋า

GoPro กล้องสุดแสนสนุก ที่พร้อมลุยไปกับทุกกิจกรรมของคุณ ไม่ว่าจะปีนเขา ดำน้ำ ขี่จักรยาน หรือแม้แต่กระโดดร่ม แต่ก่อนตัดสินใจควักกระเป๋า มาทำความรู้จักกับข้อดี ข้อเสีย ของกล้อง GoPro กันก่อนดีกว่า

ข้อดีของ GoPro

1. ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา พกพาสะดวก : GoPro มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา สามารถติดตั้งกับอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย เหมาะสำหรับการพกพาไปท่องเที่ยวและบันทึกภาพในทุกสถานการณ์

2. ทนทาน กันน้ำ กันกระแทก : GoPro ขึ้นชื่อเรื่องความทนทาน กันน้ำ กันกระแทก ไม่ต้องกังวลกับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย

3. มุมมองกว้าง : GoPro มีเลนส์มุมกว้าง ช่วยให้คุณบันทึกภาพได้กว้างขึ้น เหมาะสำหรับการถ่ายภาพทิวทัศน์ หรือกิจกรรมต่างๆ

4. ใช้งานง่าย : GoPro มีการใช้งานที่ง่าย มีฟังก์ชั่นการทำงานอัตโนมัติ เหมาะสำหรับทั้งมือใหม่และมืออาชีพ

5. อุปกรณ์เสริมหลากหลาย : GoPro มีอุปกรณ์เสริมมากมาย ช่วยให้คุณสามารถติดตั้งกล้องกับอุปกรณ์ต่างๆ ได้ตามต้องการ

ข้อเสียของ GoPro

* ราคาสูง : GoPro มีราคาสูงกว่ากล้องทั่วไป
* คุณภาพของภาพ : GoPro มีคุณภาพของภาพที่ดี แต่ยังคงด้อยกว่ากล้อง DSLR หรือ Mirrorless
* แบตเตอรี่หมดเร็ว: GoPro มีแบตเตอรี่ที่ค่อนข้างหมดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถ่ายวิดีโอความละเอียดสูง
* ความร้อน : GoPro อาจร้อนขึ้นขณะใช้งาน

สรุป

GoPro เป็นกล้องที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัย และต้องการบันทึกภาพกิจกรรมของตัวเอง แต่ก่อนตัดสินใจซื้อควรพิจารณาข้อดี ข้อเสีย ของกล้อง GoPro ให้เหมาะสมกับการใช้งานของคุณ

ซื้อ GoPro ที่ไหน?

* ร้านค้าออนไลน์ เช่น Shopee Lazada JD Central
* ร้านค้าออฟไลน์ เช่น ร้านกล้อง ห้างสรรพสินค้า หรือกับทางเรา รับจำนำมือถือ iPhone, Macbook,  กล้อง สินค้าไอที Thunder-cash
* เว็บไซต์ทางการของ GoPro

อย่าลืม!

* ซื้อ GoPro ของแท้ จากร้านค้าที่เชื่อถือได้
* อ่านคู่มือการใช้งานก่อนใช้งาน
* เลือกอุปกรณ์เสริมที่เหมาะสม

โทรศัพท์โดนแฮกมั้ยเนี่ย?! เช็คด่วน!! เคล็ดลับง่ายๆ สบายใจ ไร้แฮกเกอร์

โทรศัพท์โดนแฮกมั้ยเนี่ย?! เช็คด่วน!! เคล็ดลับง่ายๆ สบายใจ ไร้แฮกเกอร์

สวัสดีชาวโซเชียลทุกท่าน! วันนี้แอดมินมีเรื่องเด็ดมาฝาก! ยุคนี้สมาร์ทโฟนคือส่วนนึง ของเราไปแล้ว ใช่มั้ยล่ะ? แต่รู้หรือเปล่าว่าเจ้ามือถือสุดรักของเรานี่แหละ อาจกำลังถูกแฮกเกอร์จ้องตาเป็นมันอยู่ก็ได้! อย่าเพิ่งตกใจไป! วันนี้แอดมินมีเคล็ดลับเด็ดๆ มาช่วยเช็คความปลอดภัยให้โทรศัพท์ของคุณกัน รับรองว่าง่ายเว่อร์ ทำตามได้ชิลล์ๆ พร้อมแล้ว ไปเช็คกันเล้ยยย!

สัญญาณเตือน โทรศัพท์ของคุณอาจโดนแฮก!

– แบตหมดไวผิดปกติ ปกติใช้ทั้งวันแบตยังเหลือเฟือ อยู่ๆ แบตดันหมดเร็วปรี๊ดภายในไม่กี่ชั่วโมง เฮ้ย! มันแปลกๆ นะ
– แอปแปลกโผล่มาเต็มไปหมด อยู่ๆ ก็มีแอปโผล่มาเต็มหน้าจอ ทั้งๆ ที่ไม่เคยโหลด แถมยังลบออกไม่ได้อีก งานเข้าแล้วมั้ยล่ะ!
– โทรศัพท์ร้อนผิดปกติ วางเฉยๆ ก็ร้อนเป็นเตารีด แถมแบตหมดไว นี่มันอาการของการโดนแฮกเกอร์ใช้งานเครื่องเราอยู่รึเปล่านะ?
– มีข้อความแปลกๆ ส่งออกไปเอง ไม่เคยส่งข้อความหาใคร แต่ดันมีข้อความแปลกๆ ส่งออกไปเอง มีเบอร์แปลกๆ โทรเข้ามาบ่อยๆ นั่นมันเบอร์ใครเนี่ย  เข้าเว็บไซต์แปลกๆ เอง อยู่ๆ ก็เด้งไปเว็บไซต์แปลกๆ ที่ไม่เคยเข้า แถมมีโฆษณาแปลกๆ เต็มไปหมด นี่มันอะไรกันเนี่ย!

อย่าเพิ่งตกใจไป! มาเช็คกันชัวร์ๆ ดีกว่า

วิธีเช็คความปลอดภัยโทรศัพท์ ง่ายเว่อร์!

1. เช็คแอปพลิเคชัน เข้าไปที่ Settings > Apps เลื่อนดูแอปทั้งหมด ถ้าเจอแอปแปลกๆ ที่ไม่เคยโหลด ให้รีบลบออกทันที! ยิ่งเป็นแอปที่ขออนุญาตเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวเยอะๆ ยิ่งต้องระวัง!

2. เช็คการใช้งานข้อมูล เข้าไปที่ Settings > Data Usage ดูว่ามีแอปไหนแอบใช้งานข้อมูลเยอะผิดปกติหรือเปล่า ถ้าเจอให้รีบจัดการ!

3. สแกนไวรัส ดาวน์โหลดแอป Antivirus มาสแกนไวรัสในเครื่อง ถ้าเจอไวรัสก็จัดการกำจัดมันให้สิ้นซาก!

4. เปลี่ยนรหัสผ่าน เปลี่ยนรหัสผ่านของบัญชีสำคัญทั้งหมด เช่น อีเมล โซเชียลมีเดีย ธนาคาร เป็นรหัสผ่านที่คาดเดายาก และอย่าใช้รหัสผ่านเดียวกันกับหลายๆ บัญชี

5. เปิดใช้งานการยืนยันตัวตนสองชั้น เปิดใช้งานการยืนยันตัวตนสองชั้น (2FA) สำหรับบัญชีสำคัญ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยอีกขั้น

แค่นี้ก็อุ่นใจ ไร้กังวลเรื่องแฮกเกอร์แล้ว!

     อย่าลืม! หมั่นอัปเดตระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชันต่างๆ เป็นเวอร์ชันล่าสุดอยู่เสมอ เพื่อความปลอดภัยขั้นสูงสุด

     เอาล่ะ! ไปเช็คโทรศัพท์กันเถอะ! อย่าให้แฮกเกอร์มาป่วนความสนุกของเราได้!

เจลเบรกโทรศัพท์ คืออะไร? ปลดปล่อยพลังแฝงในมือถือของคุณ!

เจลเบรกโทรศัพท์ คืออะไร? ปลดปล่อยพลังแฝงในมือถือของคุณ!

เคยสงสัยไหมว่าทำไมโทรศัพท์ของเราถึงทำบางอย่างไม่ได้ ทั้งๆ ที่มันน่าจะทำได้? นั่นเป็นเพราะระบบปฏิบัติการอย่าง iOS และ Android มักจะมีข้อจำกัดบางอย่างที่ถูกตั้งไว้เพื่อความปลอดภัยและความเสถียร แต่สำหรับบางคน ข้อจำกัดเหล่านี้อาจกลายเป็นกำแพงที่ขวางกั้นความอิสระในการใช้งาน

การเจลเบรก (Jailbreak) คืออะไร คือ การปลดปล่อยพลังแฝงในโทรศัพท์ของคุณ เปรียบเสมือนการปลดล็อคโซ่ตรวนจากข้อจำกัดของระบบปฏิบัติการ ทำให้คุณสามารถควบคุมและปรับแต่งโทรศัพท์ของคุณได้อย่างเต็มที่

ข้อดีของการเจลเบรก

  1. ติดตั้งแอปพลิเคชันที่ไม่รองรับ คุณสามารถติดตั้งแอปพลิเคชันที่ไม่มีอยู่ใน App Store หรือ Google Play Store ซึ่งอาจจะมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจและไม่เหมือนใคร
    ปรับแต่งธีมและหน้าตา ปลดปล่อยความเป็นตัวคุณด้วยการปรับแต่งหน้าตาของโทรศัพท์ทั้งธีม ไอคอน และวอลเปเปอร์
  2. เพิ่มฟังก์ชันการทำงาน เพิ่มฟังก์ชันการทำงานใหม่ๆ ให้กับโทรศัพท์ของคุณ เช่น การบันทึกหน้าจอ การปรับแต่งแถบสถานะ หรือการจัดการไฟล์อย่างอิสระ
  3. ลบแอปพลิเคชันที่ติดมากับเครื่อง กำจัดแอปพลิเคชันที่คุณไม่ต้องการออกไปจากโทรศัพท์ของคุณ

ข้อควรระวัง

  • ความปลอดภัย การเจลเบรกอาจทำให้โทรศัพท์ของคุณมีความเสี่ยงต่อไวรัสและมัลแวร์มากขึ้น ดังนั้นควรติดตั้งแอปพลิเคชันจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น
  • การรับประกัน การเจลเบรกอาจทำให้โทรศัพท์ของคุณหลุดจากการรับประกัน
  • ความเสถียร การเจลเบรกอาจส่งผลต่อความเสถียรของระบบปฏิบัติการ ทำให้โทรศัพท์ของคุณทำงานช้าหรือมีปัญหาอื่นๆ

สรุป

     การเจลเบรกเป็นวิธีปลดปล่อยพลังแฝงในโทรศัพท์ของคุณ ช่วยให้คุณสามารถควบคุมและปรับแต่งโทรศัพท์ของคุณได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจเจลเบรก ควรศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจข้อดีข้อเสียอย่างรอบคอบ เพื่อให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากการเจลเบรกได้อย่างปลอดภัยและคุ้มค่า

โทรศัพท์ชาร์จไม่เข้า อย่าเพิ่งหัวร้อน! มาหาสาเหตุและวิธีแก้ไขกันเถอะ!

โทรศัพท์ชาร์จไม่เข้า อย่าเพิ่งหัวร้อน! มาหาสาเหตุและวิธีแก้ไขกันเถอะ!

เอ๊ะ! ทำไมชาร์จแบตโทรศัพท์ไม่เข้า!? ปัญหานี้เป็นปัญหาโลกแตกที่สร้างความหงุดหงิดให้กับผู้ใช้สมาร์ทโฟนเป็นอย่างมาก แต่ไม่ต้องกังวลไปค่ะ วันนี้ พี่เจมินี่ มีเทคนิคเด็ดๆ มาช่วยไขข้อข้องใจและแก้ไขปัญหานี้ให้กับทุกคน

สาเหตุที่ทำให้ชาร์จแบตโทรศัพท์ไม่เข้า

  1. สายชาร์จหรืออะแดปเตอร์ชำรุด: สายชาร์จหรืออะแดปเตอร์ที่ชำรุด เช่น สายขาดใน หัวชาร์จหลวม หรืออะแดปเตอร์เสื่อมสภาพ ส่งผลให้ไฟฟ้าไม่สามารถไหลเข้าสู่โทรศัพท์ได้
  2. พอร์ตชาร์จสกปรก: ฝุ่นละอองหรือสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่ในพอร์ตชาร์จ อาจเป็นตัวการที่ทำให้การเชื่อมต่อระหว่างสายชาร์จกับโทรศัพท์ไม่สมบูรณ์
  3. ซอฟต์แวร์ของโทรศัพท์มีปัญหา: บางครั้ง ซอฟต์แวร์ของโทรศัพท์อาจมีปัญหา ทำให้ระบบการชาร์จทำงานผิดปกติ
  4. แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ: แบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพจะเก็บประจุไฟฟ้าได้น้อยลง ส่งผลให้ชาร์จไฟเข้าช้า หรือชาร์จไม่เข้าเลย

วิธีแก้ไขปัญหาชาร์จแบตโทรศัพท์ไม่เข้า

  • ตรวจสอบสายชาร์จและอะแดปเตอร์: เปลี่ยนสายชาร์จหรืออะแดปเตอร์ใหม่ เพื่อเช็คว่าเป็นสาเหตุหรือไม่
  • ทำความสะอาดพอร์ตชาร์จ: ใช้ไม้จิ้มฟันหรือแปรงสีฟันค่อยๆ เขี่ยสิ่งสกปรกออกจากพอร์ตชาร์จ
  • รีสตาร์ทโทรศัพท์: การรีสตาร์ทโทรศัพท์จะช่วยรีเซ็ตระบบการชาร์จใหม่
  • อัปเดตซอฟต์แวร์ของโทรศัพท์: การอัปเดตซอฟต์แวร์จะช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดจากซอฟต์แวร์
  • เปลี่ยนแบตเตอรี่: หากแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ จำเป็นต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่

สรุป

      ปัญหาชาร์จแบตโทรศัพท์ไม่เข้าสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่ไม่ต้องกังวลไปเพียงแค่ทำตามวิธีแก้ไขที่เราแนะนำเชื่อว่าปัญหาจะหมดไปอย่างแน่นอนและอย่าลืมเลือกใช้สายชาร์จและอะแดปเตอร์ที่ได้มาตรฐานเพื่อยืดอายุการใช้งานของโทรศัพท์

อุปกรณ์เสริมสำหรับช่างกล้อง: เพื่อนคู่ใจ เพิ่มความสะดวก สนุกกับการทำงาน!

อุปกรณ์เสริมสำหรับช่างกล้อง: เพื่อนคู่ใจ เพิ่มความสะดวก สนุกกับการทำงาน!

ช่างภาพมืออาชีพหรือมือใหม่ไฟแรง ก็ต่างต้องการความสะดวกสบาย และความคล่องตัวในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพในสตูดิโอ หรือการออกไปลุยถ่ายภาพนอกสถานที่ ยิ่งอุปกรณ์เสริมครบครัน ก็ยิ่งช่วยให้การทำงานราบรื่น สนุกสนาน และได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม มาดูกันดีกว่าว่า อุปกรณ์เสริมอะไรบ้างที่ช่างกล้องควรมีติดตัวไว้

1. ขาตั้งกล้อง อุปกรณ์เสริมที่ขาดไม่ได้เลย เพราะช่วยให้กล้องนิ่ง ไม่สั่นไหว เหมาะกับอุปกรณ์เสริมช่างกล้องในการการถ่ายภาพในที่มืด ถ่ายภาพบุคคล หรือภาพวิวทิวทัศน์

2. เลนส์เสริม เลนส์แต่ละชนิดก็ให้ภาพที่แตกต่างกัน เช่น เลนส์มุมกว้าง เหมาะสำหรับการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ เลนส์เทเลโฟโต้ เหมาะสำหรับการถ่ายภาพบุคคล หรือถ่ายภาพสัตว์ป่า เลนส์มาโคร เหมาะสำหรับการถ่ายภาพระยะใกล้

3. แฟลชเสริม ช่วยเสริมแสงสว่างให้กับภาพ โดยเฉพาะในที่แสงน้อย หรือต้องการสร้างเอฟเฟกต์แสงที่น่าสนใจ

4. ไมโครโฟนเสริม สำหรับการบันทึกวิดีโอ ช่วยให้เสียงคมชัด และเก็บรายละเอียดเสียงได้ดีขึ้น

5. Gimbal อุปกรณ์เสริมสุดเจ๋ง สำหรับการถ่ายวิดีโอ ช่วยให้ภาพนิ่ง ไม่สั่นไหว เหมาะสำหรับการถ่ายภาพเคลื่อนไหว หรือถ่ายภาพในสภาพแวดล้อมที่ไม่เสถียร

6. กระเป๋ากล้อง มีหลายแบบหลายขนาด ช่วยปกป้องกล้องและอุปกรณ์เสริมจากฝุ่นละออง และการกระแทก

7. ที่เป่าลม สำหรับทำความสะอาดเลนส์ และเซนเซอร์ โดยไม่ทำให้เกิดรอยขีดข่วน

8. ชุดทำความสะอาดเลนส์ ประกอบด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์ และน้ำยาทำความสะอาดเลนส์ ช่วยให้เลนส์สะอาด ใส พร้อมใช้งาน

9. เมมโมรี่การ์ด ควรเลือกแบบความจุสูง และความเร็วในการอ่านเขียนที่เร็ว เพื่อให้สามารถบันทึกภาพ และวิดีโอได้อย่างต่อเนื่อง

10. แบตเตอรี่สำรอง อุปกรณ์เสริมสุดจำเป็น โดยเฉพาะเวลาออกไปถ่ายภาพนอกสถานที่ ช่วยให้ไม่พลาดช็อตเด็ด เพราะแบตเตอรี่หมด

      นอกจากอุปกรณ์เสริมสำหรับช่างกล้องที่กล่าวมาแล้ว ยังมีอุปกรณ์เสริมอื่นๆ อีกมากมาย ขึ้นอยู่กับความต้องการและสไตล์การถ่ายภาพของแต่ละคน ศึกษาข้อมูล เลือกใช้ให้เหมาะสม จะช่วยให้การทำงานสนุกสนาน และได้ผลงานที่น่าประทับใจ

     อย่าลืม! อุปกรณ์เสริมที่ดี จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย และประสิทธิภาพในการทำงาน สนุกกับการถ่ายภาพ และเก็บภาพความทรงจำ ที่สวยงาม ประทับใจ ไปด้วยกัน!

ทัชสกรีนโทรศัพท์ไม่ค่อยติด แก้ไขยังไง ให้ลื่นปรื๊ดเหมือนเดิม

ทัชสกรีนโทรศัพท์ไม่ค่อยติด แก้ไขยังไง ให้ลื่นปรื๊ดเหมือนเดิม

โอ๊ยยย! ใครเป็นบ้างคะ เวลาเล่นโทรศัพท์แล้วจู่ๆ ทัชสกรีนก็ไม่ค่อยติด กดไม่ค่อยไป ชีวิตดี้ดีย์ก็สะดุด ช้อปปิ้งออนไลน์ก็สะดุด เล่นเกมก็สะดุด อารมณ์เสียสุดๆ เลย แต่เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งรีบไปซื้อโทรศัพท์ใหม่ เพราะวันนี้เรามีวิธีแก้ไข ทัชสกรีนโทรศัพท์ไม่ค่อยติด มากฝาก รับรองว่าง่ายๆ ทำได้เองที่บ้าน แถมยังฟรีอีกด้วย!

สาเหตุ

ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ทำไมทัชสกรีนโทรศัพท์ถึงไม่ค่อยติด?

สาเหตุหลักๆ มี 3 ข้อด้วยกันค่ะ

1. ฟิล์มกันรอยมีปัญหา: ฟิล์มกันรอยหนาเกินไป อาจทำให้ทัชสกรีนไม่ค่อยทำงาน หรือฟิล์มกันรอยติดไม่สนิท เกิดฟองอากาศอยู่ข้างใต้ ก็ส่งผลให้การสั่งงานบนหน้าจอไม่แม่นยำ

2. หน้าจอสกปรก: ฝุ่นผง สิ่งสกปรก หรือคราบมันบนหน้าจอ
อาจไปรบกวนสัญญาณการสัมผัส ทำให้ทัชสกรีนทำงานได้ไม่เต็มที่

3. ซอฟต์แวร์มีปัญหา: บางครั้งซอฟต์แวร์ที่ล้าสมัย หรือมีการอัปเดตบั๊ก
ก็อาจส่งผลให้ทัชสกรีนทำงานผิดปกติได้เช่นกัน

วิธีแก้ไข

1. ลอกฟิล์มกันรอยออก: ถ้าสงสัยว่าฟิล์มกันรอยเป็นตัวปัญหา ลองลอกฟิล์มกันรอยออก แล้วเช็ดทำความสะอาดหน้าจอก่อน จากนั้นลองใช้งานโทรศัพท์ดูว่าทัชสกรีนทำงานได้ดีขึ้นหรือไม่

2. เช็ดทำความสะอาดหน้าจอ: ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ชุบน้ำยาทำความสะอาดหน้าจอ (หรือน้ำเปล่า) เช็ดทำความสะอาดหน้าจออย่างเบามือ จากนั้นใช้ผ้าแห้งเช็ดอีกครั้งให้แห้งสนิท

3. รีสตาร์ทโทรศัพท์: การรีสตาร์ทโทรศัพท์ จะช่วยรีเฟรชระบบ
และปิดโปรแกรมที่ทำงานอยู่เบื้องหลังทั้งหมด ซึ่งอาจช่วยแก้ปัญหาทัชสกรีนไม่ค่อยติดได้

4. อัปเดตซอฟต์แวร์:
การอัปเดตซอฟต์แวร์เป็นเวอร์ชันล่าสุด
จะช่วยแก้ไขบั๊กต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อการทำงานของทัชสกรีน

5. ใช้โหมดทดสอบ:
โทรศัพท์บางรุ่นมีโหมดทดสอบสำหรับการทดสอบฟังก์ชั่นต่างๆ ของโทรศัพท์
รวมถึงทัชสกรีนด้วย ลองเข้าไปใช้โหมดทดสอบเพื่อเช็คว่าทัชสกรีนทำงานได้ปกติหรือไม่

6. ส่งศูนย์บริการ:
ถ้าลองทำตามวิธีข้างต้นแล้วยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้
แนะนำให้ส่งโทรศัพท์ไปที่ศูนย์บริการเพื่อให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ
และซ่อมแซมต่อไป

เคล็ดลับ

อย่ากดหน้าจอแรงเกินไป: การกดหน้าจอแรงๆ ไม่เพียงแต่จะทำให้ทัชสกรีนเสียหายเร็วขึ้น
แต่ยังอาจทำให้หน้าจอแตกได้อีกด้วย

  • อย่าใช้โทรศัพท์ในที่ที่มีอุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินไป อุณหภูมิที่สูงหรือต่ำเกินไป อาจส่งผลต่อการทำงานของทัชสกรีน
  • ใช้เคสที่พอดีกับโทรศัพท์ เคสที่ไม่พอดีกับโทรศัพท์ อาจไปกดทับปุ่มต่างๆ บนหน้าจอ ทำให้ทัชสกรีนทำงานผิดปกติ
  • อย่าทำโทรศัพท์ตก การทำโทรศัพท์ตก อาจทำให้หน้าจอแตกหรือทัชสกรีนเสียหายได้

สรุป
หากพบปัญหาทัชสกรีนโทรศัพท์ไม่ค่อยติด ลองทำตามวิธีที่เรานำมาฝาก รับรองว่าจะช่วยให้ทัชสกรีนกลับมาทำงานได้ลื่นปรื๊ดเหมือนเดิม! แต่ถ้าลองทำตามวิธีข้างต้นแล้วปัญหายังไม่หาย แนะนำให้ส่งโทรศัพท์ไปที่ศูนย์บริการทันที
อย่าลืม! หมั่นดูแลรักษาโทรศัพท์ของคุณอยู่เสมอ เพื่อให้โทรศัพท์มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน

โทรศัพท์จอแตก ทำไงดี?! 5 วิธีแก้ไข ฉบับเร่งด่วน!

โทรศัพท์จอแตก ทำไงดี?! 5 วิธีแก้ไข ฉบับเร่งด่วน!

โอ๊ะโอ! จู่ๆ โทรศัพท์คู่ใจของเราก็ร่วงหล่น จอแตกซะงั้น! ใจหายใจคว่ำกันเลยทีเดียว แต่ไม่ต้องตกใจไป วันนี้เรามี 5 วิธีแก้ไขเบื้องต้น มาช่วยให้คุณกู้โทรศัพท์จอแตก กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง แถมยังไม่ต้องเสียเงินแพงอีกด้วย!

1. ปิดเครื่องด่วน!
สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ปิดเครื่องทันที! เพื่อป้องกับความเสียหายเพิ่มเติม และป้องกันแบตเตอรี่รั่วไหล ที่อาจเกิดอันตรายต่อตัวเครื่องและผู้ใช้งาน

2. เช็คความเสียหาย
สำรวจดูว่าจอแตกแค่ไหน มีรอยร้าว กะเทาะ หรือแตกลึกแค่ไหน เพื่อประเมินเบื้องต้น ว่าต้องซ่อมหรือเปลี่ยนจอ

3. หยุดสัมผัส!
อย่าพยายามกดหรือสัมผัส บริเวณที่จอแตก เพราะอาจทำให้เศษแก้วบาดนิ้ว หรือทำให้จอเสียหายหนักกว่าเดิม

4. ทำความสะอาด
ใช้ผ้าสะอาดเช็ดเศษฝุ่น หรือเศษแก้วออกเบาๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและป้องกันไม่ให้เศษแก้วบาดมือ

5. ตัวช่วยกู้ชีพ!
ฟิล์มกันรอย : ถอดฟิล์มกันรอยออก เพื่อป้องกันไม่ให้เศษกระจก บาดนิ้วมือ หรือทำอันตราย

หมายเหตุ
วิธีที่ 5 ควรทำเป็นการแก้ไขเบื้องต้น เพื่อป้องกันไม่ให้จอเสียหายเพิ่มขึ้น และเพื่อความปลอดภัยของตัวผู้ใช้งาน
แต่ไม่สามารถแก้ไขจอแตกได้ถาวร

สำหรับกรณีที่จอแตกหนัก
แนะนำให้รีบนำไปให้ช่างผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสอบและซ่อมแซม เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น กับตัวเครื่องและผู้ใช้งาน

เคล็ดลับ : สำหรับคนใช้ iPhone ที่ต้องการประหยัดแบตเตอรี่

เคล็ดลับ : สำหรับคนใช้ iPhone ที่ต้องการประหยัดแบตเตอรี่

วันนี้เรามีเคล็ดลับสุดพิเศษสำหรับคุณที่ใช้ iPhone ที่ต้องการประหยัดแบตเตอรี่อยู่เสมอ! ทุกคนทราบดีว่าการใช้งาน iPhone อาจทำให้แบตเตอรี่ลดเร็วไป แต่ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป เพราะทางเราได้รวบรวมวิธีการประหยัดแบตเตอรี่ iPhone มาให้คุณแล้ว!

1. ปรับระดับความสว่างของหน้าจอให้ต่ำลง
การปรับระดับความสว่างของหน้าจอให้ต่ำลงจะทำให้แบตเตอรี่ใช้พลังงานน้อยลง อย่างไรก็ตาม ควรเปิดใช้งาน “Auto-Brightness” เพื่อให้ระบบสามารถปรับระดับความสว่างให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม

2. ปิดบริการที่ไม่จำเป็น
การปิดบริการหรือแอปพลิเคชันที่ไม่ได้ใช้งานอยู่จะช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้อย่างมาก เช่น การปิดใช้งาน Bluetooth, การปิดแอปพลิเคชันในพื้นหลัง หรือการปิดการส่งข้อมูลในพื้นหลัง

3. ปรับการตั้งค่า Fetch อีเมล
การตั้งค่า Fetch อีเมลให้รับข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ไม่บ่อยเท่าไหร่จะช่วยลดการใช้แบตเตอรี่ได้อย่างมาก สามารถเลือกตั้งค่าให้รับข้อมูลทุก 15 นาทีหรือทุก 30 นาทีแทน

4. ปิดใช้งานตำแหน่ง GPS ที่ไม่จำเป็น
การใช้งานตำแหน่ง GPS อยู่ตลอดเวลาจะทำให้แบตเตอรี่หมดไวมาก ควรปิดการใช้งานตำแหน่ง GPS ในแอปพลิเคชันที่ไม่จำเป็นในการใช้งาน

     ด้วยวิธีการที่เราได้แนะนำไปจะช่วยให้ iPhone ของคุณสามารถใช้งานได้นานขึ้นและประหยัดแบตเตอรี่ได้อย่างมาก! ลองทำตามดูนะคะ

4 แบรนด์ฟิล์มกันรอยโทรศัพท์ ปกป้องมือถือสุดรักของคุณ

4 แบรนด์ฟิล์มกันรอยโทรศัพท์ ปกป้องมือถือสุดรักของคุณ

ฟิล์มกันรอยโทรศัพท์ เป็นอุปกรณ์เสริมสำคัญ ที่ช่วยปกป้องหน้าจอและตัวเครื่องจากรอยขีดข่วน รอยนิ้วมือ คราบสกปรกและแม้กระทั่งการตกกระแทก ซึ่งในท้องตลาดมีฟิล์มกันรอยมากมายหลากหลายยี่ห้อเลือกไม่ถูกเลยใช่ไหม? ไม่ต้องกังวลไป เราได้คัดเลือก 4 แบรนด์ฟิล์มกันรอยโทรศัพท์ ยอดฮิตมาแนะนำให้คุณแล้ว

1. Focus

แบรนด์ฟิล์มกันรอยยอดนิยมขึ้นชื่อเรื่องความคุ้มค่า ราคาไม่แพงมีฟิล์มหลากหลายประเภทให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นฟิล์มกระจก ฟิล์มใส ฟิล์มด้าน ฟิล์มไฮโดรเจล คุณภาพดี ทัชลื่น ติดตั้งง่าย ป้องกันรอยขีดข่วนได้ดีแถมยังมีบริการติดฟิล์มฟรีที่ร้าน Focus ทุกสาขา

2. ArmorDillo

แบรนด์นี้โดดเด่นด้วยความแข็งแรงทนทาน บางรุ่นมีความแข็งระดับ 9H ป้องกันรอยขีดข่วนได้ดีเยี่ยม แถมยังเคลือบสารลดรอยนิ้วมือทำให้หน้าจอดูสะอาด ไม่เลอะง่าย ติดตั้งง่าย ไม่ทิ้งคราบกาว แม้จะลอกออก ArmorDillo ยังมีฟิล์มแบบเต็มจอ ครอบคลุมถึงขอบโค้งของหน้าจอเหมาะกับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ

3. Zagg

แบรนด์ดังจากอเมริกา ขึ้นชื่อเรื่องเทคโนโลยีขั้นสูง ฟิล์ม Zagg มีความบาง แต่แข็งแรงทนทาน ป้องกันรอยขีดข่วน รอยนิ้วมือ และรอยเปื้อนได้ดี ติดง่าย ไม่ทิ้งฟองอากาศแถมยังมีประกันตลอดอายุการใช้งาน หากฟิล์มมีรอยหรือชำรุด สามารถเคลมฟิล์มใหม่ได้ฟรี

4. GO2

แบรนด์ไทยคุณภาพดี ราคาไม่แพงมีฟิล์มหลากหลายแบบให้เลือก ทั้งฟิล์มกระจก ฟิล์มใส และฟิล์มไฮโดรเจล จุดเด่นของ GO2 คือ ความบางเบา ติดตั้งง่าย ไม่เป็นรอยนิ้วมือแถมยังมีฟิล์มแบบเต็มจอ สำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ครอบคลุมถึงขอบโค้ง ป้องกันได้อย่างทั่วถึง

เห็นไหม? เพียงแค่ใช้ฟิล์มกันรอยโทรศัพท์ ก็ช่วยปกป้องโทรศัพท์สุดรักของคุณได้แล้ว อย่าลืมเลือก “ฟิล์มกันรอยโทรศัพท์” ให้เหมาะกับการใช้งานของคุณ

ย้อนรอยประวัติศาสตร์! พัฒนาการของ Macbook

ย้อนรอยประวัติศาสตร์! พัฒนาการของ Macbook

สวัสดีชาว Mac Lover ทุกท่าน! วันนี้เราจะพาคุณย้อนเวลากลับไปสัมผัสกับเรื่องราวสุด "สนุกสนาน" ของ Macbook ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน

จุดกำเนิด Macbook: ปี 2006

เรื่องราวของ Macbook เริ่มต้นขึ้นในปี 2006 เมื่อ Steve Jobs พ่อมดแห่งวงการเทคโนโลยี เปิดตัว Macbook รุ่นแรก ณ งาน Macworld Conference & Expo ด้วยรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยว ตัวเครื่องสีขาวสะอาดตา และโลโก้ Apple ขนาดใหญ่ตรงกลางฝาหลัง

จุดเด่นที่ทำให้ Macbook “โดดเด่น” ทันที :

* ดีไซน์ : ตัวเครื่องบางเบาเพียง 4.5 ปอนด์ ผลิตจากโพลีคาร์บอเนต แข็งแรง ทนทาน
* หน้าจอ : จอ LCD ขนาด 13.3 นิ้ว ความละเอียด 1280×800 พิกเซล
* ระบบปฏิบัติการ Mac OS X : ใช้งานง่าย ลื่นไหล และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
* แบตเตอรี่อึด : ใช้งานได้นานถึง 5 ชั่วโมง

พัฒนาการสุด “มันส์” ของ Macbook :

ตลอด 23 ปีที่ผ่านมา Macbook ได้ผ่านการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เรามาดูไฮไลท์กัน:

  • ปี 2008 : Macbook Air ถือกำเนิด บางเบาที่สุดในโลก ณ ขณะนั้น
  • ปี 2012 : Macbook Pro with Retina Display จอภาพ Retina อันคมชัด
  • ปี 2015 : Macbook 12 นิ้ว รุ่นแรกที่ใช้ USB-C
  • ปี 2016 : Touch Bar นวัตกรรมใหม่ เพิ่มความสะดวกสบาย
    ปี 2020 : Apple Silicon ชิประดับเทพ ผลงานของ Apple เอง

     ปัจจุบัน : Macbook มีหลากหลายรุ่น หลากหลายขนาด ให้เลือกสรร ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นสายทำงาน สายครีเอทีฟ หรือสายเกม

สรุป:

Macbook ถือเป็นสุดยอดนวัตกรรมจาก Apple ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับวงการคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก และยังคงเป็นแล็ปท็อปยอดนิยมที่ครองใจผู้ใช้ทั่วโลก